แป้ง-อรจิรา แหลมวิไล
...สวยๆ ตาโตอย่าง แป้ง-อรจิรา มีสิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอ นั่นคือ “ความมั่นใจ” เพราะไม่ว่าจะเป็นการแสดง การตอบคำถาม หรือการวางตัว เธอมาพร้อมกับความมั่นใจที่แสดงออกมาจากข้างใน
ซึ่งความมั่นใจนี้ เธอบอกว่าเธอได้ไปรู้จักและคุ้นเคยตั่งแต่เมื่อครั้งเดินทางไปเรียนที่ประเทศนิวซีแลนด์ ตั้งแต่จบ ป.6 เพราะเธอต้องรับผิดชอบและจัดการชีวิตด้วยตัวเองตั้งแต่ตอนนั้น ความมั่นใจในตัวเองจึงค่อยๆก่อเกิดและบ่มเพาะขึ้นมา
และเธอก็ไม่ได้หลงลืมไว้ที่ดินแดนกีวี แต่ได้เก็บรักษาติดตัวกลับมาด้วย...
เดินทางไปเรียนที่นิวซีแลนด์ตั้งแต่...
ตั้งแต่อายุ 12 เรียนจบ ป.6 แล้วก็ไป พอดีแป้งมีญาติอยู่ที่นู่น ที่เมืองโอ๊คแลนด์ก็สะดวก เพราะมีคนคอยดูแล แม่ก็โอเคด้วยก็เลยให้ไป คือเป็นคนชอบความเปลี่ยนแปลง ชอบลอง ชอบแปลกๆ ใหม่ๆ อยากลองหลายๆวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
ไปถึงช่วงแรกๆ...
ตอนนั้นไปเรียนที่แฮมิลตัน เป็นโรงเรียนประจำพอไปถึงช่วงแรกๆ ก็ตื่นเต้น อุ้ย!ตายแล้ว...เมืองนอก...ฝรั่ง ตอนอยู่เมืองไทยเราอยู่โรงเรียนหญิงล้วน พอไปที่นู่นเป็นโรงเรียนสห ก็อีกบรรยากาศหนึ่ง ตอนไปใหม่ๆ แม่ยังอยู่ด้วย แต่พอแม่กลับก็เริ่มคิดถึงบ้านล่ะ สองเดือนแรกก็คิดถึงแม่บ้าง โทรกลับมาร้องไห้ แต่ว่าสักพักหนึ่งก็เริ่มชิน ใช้เวลาปรับตัวประมาณ 2- 3 เดือน อาจจะเป็นเพราะเราไปตอนที่ยังเด็กและบรรยากาศรอบๆ ธรรมชาติจึงไม่ต้องปรับตัวอะไรนัก
แล้วกับเพื่อนล่ะ ต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง...
ตอนแรกไป เราก็เงียบ ใครจะคุยกับเรา เราก็ไม่รู้จะคุยอะไร เพราะคุยไม่ได้ แล้วเด็กที่นู่นกิจกรรมค่อนข้างเยอะ เตะฟุตบอล เล่นรักบี้ เล่นบาส แล้วเค้าบังคับให้เล่นกีฬา ทำให้เราได้ทั้งเพื่อนและทั้งออกกำลังกาย ไปปีสองปีแรก ก็สูงขึ้น แต่น้ำหนักลง รักบี้ผู้หญิงก็เล่นนะ กิจกรรมจึงเป็นส่วนสำคัญในการหัดเข้าหาคน เขาก็มีเพื่อนของเขา ถ้าเราไม่คุยกับเขาเขาก็ไม่คุยกับเรา การอยู่ที่นู่นทำให้มีมนุษยสัมพันธ์ดีขึ้น รู้จกเข้าหาคนอื่นบ้าง
แล้วการปรับตัวเกี่ยวกับภาษาล่ะ...
มันต้องใช้เวลาเหมือนกันสองสามเดือนก็งูๆปลาๆ ได้แล้วล่ะ อย่างไปตอนแรกสมัยนั้นยังฟังวอล์คแมนอยู่เลย เพื่อนก็เข้ามาถามมีแบตมั๊ยก็นึกว่าแบตเตอรี่ ไม่รู้ว่าหมายถึงถ่านที่ใส่ในเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ตอบว่า I don’t have electricity เราก็พูดประมาณนี้ เขาก็งงๆ แล้วก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปเข้าห้องน้ำ เราก็รู้จักแต่ Man กับ Woman แต่พอเจอคำว่า Male กับ Female ก็งงล่ะ อันไหนผู้หญิงอันไหนผู้ชาย ก็ไปเข้าห้องน้ำ Male แบบเด็กไง ก็มีคนไปเคาะ เอ๊ะ! ยูนี่ห้องน้ำผู้ชายนะ เราก็ซวยแล้ว เข้าผิดห้อง แต่ตอนนั้นอายุ 12 ไม่รู้ก็ไม่ถือว่าผิดนะ (หัวเราะ)
ชีวิตการเป็นนักเรียนประจำ...
ก็สนุกดีนะ เพราะไม่เคยอยู่โรงเรียนประจำ ตื่นเช้ามาอาบน้ำ ใช้เวลาอาบน้ำ 1 นาที เสร็จปุ๊บไปกินข้าว กลับมาต้องทำเวร ทำความสะอาด ก็ฝึกความเป็นระเบียบ เตียงก็จัดเอง เสื้อผ้าก็ซักเอง บ้านแต่ละบ้านจะมีแม่บ้านคอยดูแลเด็กในบ้าน แล้วก็มีหัวหน้าบ้านเป็นเด็กนักเรียนชั้นโตๆ หน่อย ส่วนเรื่องกฎระเบียบ เรียกว่ากฎเยอะมาก อย่างผมยาวจะปล่อยก็ไม่ได้ จะรัดโบว์ก็ไม่ได้ ต้อรัดด้วยหนังสติ๊กสีดำหรือสีน้ำเงิน ต้องเก็บผม กระโปรงต้องยาวเท่าเข่า
กิจกรรมที่ทำตอนเป็นนักเรียนประจำ...
นอกจากเล่นกีฬา ก็เข้าเมืองไปดูหนังทุกวันเสาร์ ดูหนังก็กลับหอ วันอาทิตย์เข้าโบสถ์ แล้วมีออกไปทริปไปเข้าแคมป์บ้าง มีอยู่ครั้งหนึ่งไปแคมป์หนึ่งอาทิตย์เต็มๆ ไม่ได้อาบน้ำ พอได้อาบก็อาบน้ำในแม่น้ำ ลำธาร น้ำตก หนาวมาก แล้วก็มีก่อกองไฟ เดินป่าบ้าง ขึ้นเขาบ้าง นอนกับป่ากับเขาในถุงนอน ก็ประทับใจนะ อากาศเย็นสบาย ไม่มีสัตว์ที่เป็นอันตราย ส่วนใหญ่ถ้าไปเที่ยวก็ไปกับโรงเรียน เพราะเรายังเด็กๆอยู่ แต่ก็เสียดายที่ได้เที่ยวแต่เกาะเหนือ ไม่ได้ลงไปเกาะใต้ คือแป้งว่าจุดเด่นของนิวซีแลนด์คือธรรมชาตินะ ถ้าไปตอนโตหน่อยจะเที่ยวเองได้ ก็น่าจะได้ทั้งเกาะเหนือเกาะใต้เลย
เรียนที่แฮมิลตันถึง...
เรียนที่เมืองแฮตัน ตั้งแต่ฟอร์ม 2 ถึง ฟอร์ม 4 ก็เรียนอยู่ 3 ปี พอ ฟอร์ม 5-6 ก็ย้ายมาเรียนที่โอ๊คแลนด์ จากเดิมเรียนโรงเรียนเอกชน ก็ย้ายมาอยู่โรงเรียนของรัฐบาล ก็คือตอนนั้นเริ่มเบื่อแล้ว อยู่ประจำมา 3 ปี ก็อยากลองเข้ามาอยู่ในเมืองบ้าง เปลี่ยนโรงเรียนบ้าง ขึ้นรถบัสหรือเดินไปเรียนบ้าง ตอนเย็นเจอเพื่อน เสาร์อาทิตย์ก็อยู่กับเพื่อน ดูหนังกินข้าว ร้องคาราโอเกะ ไปร้านเกม ซื้อของ คือพอมาอยู่นี่ก็อีกอารมณ์หนึ่ง คือที่โอ๊คแลนด์มีความเป็นเมืองมากกว่าแฮมิลตัน แต่ก็ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่มาก เหมือนสยามสแควร์บ้านเรา คือสำหรับเด็กวัยรุ่นที่นั่นแค่มีกิจกรรมได้ทำก็พอแล้ว ก็คิดว่าพอดีกับวัยในช่วงที่ไปพอดี
ความแตกต่างระหว่างโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนรัฐบาล...
เอกชนจะเข้มงวดกว่าโรงเรียนรัฐบาลจะยังไงก็ได้ มีเด็กทุกแนว คนเมารีจะเยอะหน่อย ตอนอยู่เอกชนที่แฮมิลตัน เมารีไม่ค่อยจะมี จะมีเด็กกีวีกับเด็กเอเชีย พอมาอยู่โรงเรียนรัฐบาล เมารีเยอะ กีวีก็มี เด็กต่างชาติก็เยอะ เรียกว่ามีทุกแนว โรงเรียนเอกชนก็จะมารยาทดีกว่าหน่อย โรงเรียนรัฐบาลก็จะเฮี้ยวๆ แป้งก็จะอยู่กับคนเอเชียมากกว่าฝรั่ง
บรรยากาศการเรียนการสอนที่นิวซีแลนด์...
สิ่งที่แป้งรับรู้ได้เลยก็คือ ชีวิตคนเราไม่ได้มีแต่ตัวหนังสือ เพราะศิลปะ กิจกรรม กีฬา การปฏิบัติ ทัศนศีกษา หรือการทดลองต่างๆ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน ซึ่งวิชาที่แป้งชอบที่สุดคือ ภาษาญี่ปุ่น คือที่นู่นมีภาษาให้เลือกเรียนเยอะ หรือใครจะอยากเรียนทำกับข้าว เย็บผ้า เศรษฐศาสตร์ ก็จะได้เรียนตามที่เราชอบ
วีรกรรมที่จำได้...
ไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรนะ อ้อ! จำได้ละ มีอยู่ทีหนึ่ง ร้ายแรงเหมือนกันแต่ก็ผ่านพ้นมาได้ ตอนนั้นอยู่โอ๊คแลนด์ อายุ 15 เพื่อนพาไปสอนขับรถ เราก็ยังจอดรถไม่ค่อยเป็น พอจะเหยียบเบรกก็ดันเหยียบคันเร่งชนคันหน้า พอถอยหลังก็เหยียบคันเร่งอีก ไปๆ มาๆ ก็ชน3 คันเลย ตอนนั้นใบขับขี่ก็ไม่มี ก็คิดเลยว่าเดี๋ยวต้องขึ้นศาลและโดนส่งกลับแน่ ทำไงดีหละเรา คิดได้ปุ๊บก็...ถอยออกมาแล้วขับหนีเลย ขับไปซ่อนที่ไหนไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว แต่ไม่โดนจับ คือไม่มีใครเห็นก็โล่งที่รอดมาได้ คือที่โน่นกฎหมายค่อนข้างเข้มงวดไง เราก็กลัวว่าจะโดนส่งกลับ
ถ้าย้อนเวลาได้ อยากกลับไปทำอะไร
ก็คงกลับไปเที่ยวเลยล่ะ คงอยู่เที่ยวเกาะเหนือเกาะใต้ ไปทั้ง 2 เกาะ คือเราอุตส่าห์ไปตรงนั้นแล้ว แต่เราไม่ได้ข้ามไปอีกเกาะน่ะ คือตอนนั้นยังเด็กเลยไม่ไปตอนนั้นไม่รู้ว่าจะไปยังไง จัดการยังไง แต่ถ้าตอนนี้ล่ะก็จะไปให้ทั่วเลย
สิ่งที่ได้จากการเรียนที่นิวซีแลนด์
สิ่งที่พัฒนาขึ้น คือความรับผิดชอบ ตื่นเอง ทำอะไรเอง จัดเตียง ล้างจาน กวาดห้อง เก็บห้อง มันก็ทำได้ อยู่คนเดียวได้ ไปโรงเรียนก็รู้จักมีความรับผิดชอบ โดดได้บ้าง แต่ก็คือมีความรับผิดชอบ ให้เราสอบผ่าน เรียนจบได้(หัวเราะ) แล้วก็ได้ เรียนรู้วัฒนธรรมนิวซีแลนด์ มีคนเมารี มีเต้นฮักก้า มีเล่นรักบี้ แล้วเราก็รู้ว่าคนที่นู่นไม่ได้วางแผนให้ลูกตัวเองยาวๆ เหมือนคนไทย พออายุ 18 ปุ๊บ ชีวิตใครชีวิตมัน จะย้ายออกจากบ้าน หางานทำ ทำอะไรเอง
ฝากถึงคนที่กำลังตัดสินใจไปเรียนที่นิวซีแลนด์
ใครที่ไปเรียน ก็อย่าคิดแต่ว่าไปเรียน ไปแล้วก็ควรได้กำไรกลับมาให้ได้มากที่สุด คืออย่างตอนแป้งไป กลับมาก็เสียดายไม่ได้ไปเที่ยว ไม่ได้ไปดูอะไรที่ควรไปดู ใครที่ไปก็สละเวลาหน่อย มีปิดเทอม 4 ครั้ง ไม่ใช่กลับมาเมืองไทยทุกครั้ง ก็พยายามอยู่ที่นู่น พยายามเที่ยวให้ครบ ก็จะได้เห็นอะไรที่เป็นไอเดียดีๆ มากมาย แล้วเวลาไปไหนก็จด เขียนไดอารี่เยอะๆ เวลากลับมาก็สามารถกลับมาเป็นข้อมูลทำอะไรได้ บรรยากาศหรือวัฒนธรรมของเขา มีเสน่ห์ที่เราสามารถนำกลับมาใช้ หรือเก็บกลับมาบอกเล่าไว้ในความทรงจำต่างๆ ได้ แล้วก็อย่าติดเพื่อนมาก เพราะเด็กไทยหรือเด็กเอเชียชอบติดเพื่อนพวกเดียวกัน ก็อยากให้เปิดกว้าง รู้จักคนนู้นคนนี้ นอกจากจะได้เพื่อนแล้วยังได้ความมั่นใจบางอย่างในการเข้าสังคม